มาตรา 36 (3) และ 39 (2) ฎีกาที่ 7254/2551 โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1839/2545 ของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นผู้เสียหายเคยฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ โดยอาศัยเหตุจากการที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น. ส. 3) เลขที่ 199 ให้แก่จำเลยที่ 2 และโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1839/2545 ของศาลชั้นต้น ได้ขอถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าวไป ซึ่งเป็นสิทธิส่วนตัวของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1839/2545 ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่จะกระทำได้ ไม่กระทบถึงสิทธิของโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นผู้เสียหายรายอื่นที่จะฟ้องจำเลยได้อีก แม้มูลเหตุที่จะฟ้องเป็นเรื่องการโอนที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์รายเดียวกันก็ตาม ไม่เป็นการต้องห้ามตาม ป. มาตรา 36 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ในเขตพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีการประกาศใช้พ. ก. ฉุกเฉิน และบางส่วนใช้พ. ความมั่นคง ดังนั้น ค วามผิดตามมาตรา 113-118 ที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องไปขึ้นศาลพลเรือน 4. ความผิดตามประกาศ หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ไม่ใช่ความผิดตามบัญชีแนบท้ายของกฎอัยการศึก ยังไม่แน่ว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอำนาจประกาศให้ความผิดอื่นนอกบัญชีแนบท้ายฯ อยู่ในอำนาจศาลทหารได้หรือไม่
หลังจากปรับราคา ตัวบทย่อ มาตราสำคัญ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ TBK0152 เป็น ฿186 ผลิตภัณฑ์ที่ขายได้แล้วก็ขายได้สำเร็จโดยไม่มีการตรวจสอบที่ไม่ดี.
เมื่อศาลสอบถามและแจ้งสิทธิแก่ผู้ต้องโทษปรับที่ไม่มีเงินชำระค่าปรับและผู้ต้องโทษปรับ ต้องการทำงานบริการสังคมแทนก็สามารถยื่นคำร้องตามแบบ บ. ส. 1 โดยศาลจะจัดให้มีการช่วยเหลือหรือ อำนวยความสะดวกในการจัดทำคำร้องและประวัติตามแบบ บ. 2 เพื่อยื่นคำร้อง ซึ่งศาลอาจมีคำสั่งให้ ทำงานบริการสังคมได้เลย โดยไม่ต้องถูกนำตัวไปกักขัง 2. ผู้ต้องโทษปรับที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษปรับ แต่ไม่มีเงินชำระค่าปรับและมีความประสงค์จะทำงานบริการสังคมแทนในภายหลังสามารถยื่นคำร้อง (ซึ่งให้ผู้เกี่ยวข้องขอรับแบบฟอร์มได้จากฝ่ายประชาสัมพันธ์ศาล) โดยแจ้งความต้องการขอทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับลงในแบบคำร้อง (แบบ บ. 1) และกรอกประวัติส่วนตัวลงในแบบประวัติจำเลย (บ.
คำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 188/2563 คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป. อ. มาตรา 300 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ต้องห้ามโจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พ. ร. บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ. ศ. 2499 มาตรา 22 เว้นแต่โจทก์ต้องยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นพิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลอุทธรณ์และอนุญาตให้อุทธรณ์ตาม พ. 2499 มาตรา 22 ทวิ และ ป. วิ. พ. มาตรา 224 วรรคท้าย ประกอบ พ. 2499 มาตรา 4 โจทก์มิได้ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์มาพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ ดังนี้ การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ว่า "รับอุทธรณ์ของโจทก์ สำเนาให้จำเลยทราบ การส่งไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด" เพียงเท่านี้ โดยไม่มีข้อความอื่นใดที่พอจะให้เข้าใจว่าเป็นการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามมาตรา 22 ทวิ จึงฟังไม่ได้ว่าผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของโจทก์ซึ่งเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่เป็นอุทธรณ์ที่จะรับไว้พิจารณาตาม พ.
มาตรา 278 นอกจากหมายความว่า ทำการประทุษร้ายแก่กายแล้ว ยังหมายความว่าทำการประทุษร้ายแก่จิตใจด้วย ไม่ว่าจะทำด้วยใช้แรงกายภาพหรือด้วยวิธีอื่นใด และให้หมายความรวมถึงการกระทำใด ๆ ซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าว ทำให้โจทก์ร่วมต้องรู้สึกสะเทือนใจอับอายขายหน้า จึงถือว่าเป็นการประทุษร้ายแก่จิตใจของโจทก์ร่วมแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำอนาจารโจทก์ร่วม ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.